
HP กำลังเผชิญกับการฟ้องร้องในอเมริกา จากการอัปเดตเฟิร์มแวร์ตัวใหม่ ที่จะปิดการทำงานของเครื่องพิมพ์เมื่อตรวจพบว่าใช้ตลับหมึกทดแทนที่ไม่ใช่ของ HP เอง พร้อม ๆ กับเป็นจังหวะแบบบังเอิญที่ราคาหมึกของ HP นั้นมีการปรับราคาขึ้นด้วย
สถานีโทรทัศน์ CNBC ได้สัมภาษณ์กับ CEO ของ HP คนปัจจุบัน Enrique Lores ถึงเรื่องนี้ และได้รับคำตอบว่า “ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของเราเอง มีเทคโนโลยีมากมายที่เราคิดค้น และใช้ทั้งในตัวเครื่องพิมพ์ และน้ำหมึก เมื่อเครื่องตรวจจับได้ว่าตลับหมึกที่เอามาใช้งานนั้นละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เราเลยบังคับให้เครื่องหยุดทำงาน”
“ทุกครั้งที่ลูกค้าซื้อเครื่องพิมพ์ของเรา มันคือการลงทุนสำหรับเรา เราลงทุนกับลูกค้ารายนั้น และถ้าลูกค้าไม่ได้พิมพ์มากพอ หรือไม่ใช้หมึกของเรา มันถือเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า”
“มีหลายเคสที่หมึกสร้างปัญหาให้เครื่องเสียหาย เพราะมันไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับเครื่องพิมพ์ของเรา หรือบางครั้งก็หนักถึงขนาดกระทบกับปัญหาความปลอดภัย”
“เราพบว่าตัวตลับมีการฝังไวรัสมาด้วย และมันก็จะวิ่งเข้าไปที่ตัวเครื่องพิมพ์ จากนั้นก็ขยายไปตามเครือข่ายที่เชื่อมต่อไว้ แน่นอนว่ามันจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับลูกค้า เป้าหมายของเราคือการทำให้การพิมพ์นั้นง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และในระยะยาวเราตั้งเป้าที่จะนำเสนอบริการพิมพ์ในรูปแบบการสมัครสมาชิกรายเดือน/ปี”
เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา HP ต้องชดเชยเงินให้กับผู้ใช้งานในออสเตรเลีย สำหรับตลับหมึกที่มีการติดตั้งระบบป้องกัน DRM เอาไว้ และยังได้ยินยอมจ่ายเงินเป็นมูลค่า 1.34 ล้านเหรียญเพื่อยอมความในยุโรปเมื่อ 2-3 ปีก่อนด้วย
ที่มา t.ly/iqApN